ข่าวประชาสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 15 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัดชลบุรี

ระหว่างวันที่ 15 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

*******************************************

เรื่อง ขอเชิญร่วมพิธีเปิดงาน "OTOP Chonburi Fair 2024"

          นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัด เปิดเผยว่า ด้วยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชลบุรีร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการเครือข่ายกลุ่มอาชีพ และผู้ผลิต ผู้ประกอบการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ จังหวัดชลบุรี กำหนดจัดงานและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่องาน “OTOP Chonburi Fair 2024" ระหว่างวันที่ 1 – 8 มีนาคม 2567 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมช่องทางการตลาดและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และเพิ่มเสริมสร้างศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ด้านการแข่งขันทางธุรกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น และชุมชน

           สำหรับรูปแบบการจัดงาน เป็นการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP คุณภาพดี จากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ทั่วประเทศ จำนวน 318 ร้านค้า อาทิ ชาชักจังหวัดสตูล ไก่ย่าง/ส้มตำเขาสวนกวาง ผ้าไหมจากนครราชสีมา ผ้าชนเผ่าจากเมืองเหนือ เครื่องประดับจิวเวอรี่จากเมืองจันท์ น้ำมันเหลืองจังหวัดตราด อาหารทะเลเมืองชล นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเข้ามาชมงาน เช่น การแสดงบนเวที การร้องเพลง กิจกรรมนาทีทองลดราคาสินค้า การเดินแบบผ้าไทย เป็นต้น

ปริญญา/ข่าว

******************************************

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบท

         นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดตั้งกองทุนพัฒนาเด็กชนบท เมื่อปี 2522 เพื่อเป็นกองทุนสำหรับ ให้ความช่วยเหลือเด็กก่อนวัยเรียน ที่ครอบครัวยากจนและด้อยโอกาส ให้ได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง และเหมาะสมตามวัย โดยในปี 2536 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณา รับกองทุนพัฒนาเด็กชนบทไว้ในพระราชูปถัมภ์ และพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “กองทุนพัฒนา เด็กชนบท ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

         สำหรับจังหวัดชลบุรี ได้จัดตั้งกองทุนพัฒนาเด็กชนบทฯ จังหวัดชลบุรี ได้ตั้งแต่มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 เพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีฐานะยากจนและด้อยโอกาส โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชลบุรี ได้จัดตั้งกองผ้าป่าไว้ที่ห้องโถง ชั้นล่าง ศาลากลางจังหวัดชลบุรี

        ขอเชิญผู้มีจิตรศรัทธาร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบกองทุน หรือนำส่งเงินมอบให้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชลบุรีโดยตรง หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาศาลากลางจังหวัด ชื่อบัญชี กองทุนพัฒนาเด็กชนบทจังหวัดชลบุรี บัญชีเลขที่ 985-1-40370-9 พร้อมส่งสำเนาใบโอนให้สำนักงานพัฒนาชุมชน เพื่อออกใบเสร็จรับเงินที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ต่อไป

ปริญญา/ข่าว

**********************************

ผู้ว่าฯ ชลบุรี พร้อมอำนวยความสะดวกช่วงเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ

         นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่จังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีสุสานฝังศพแบบคนจีนเป็นจำนวนมาก ทำให้ระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายนของทุกปี เป็นช่วงเทศกาลที่เรียกกันว่า วันชุนฮุน และวันเชงเม้ง ซึ่งมีประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามากราบไหว้บรรพบุรุษ เป็นจำนวนมาก ในช่วงวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำให้การจราจรติดขัดโดยเฉพาะถนนสาย344 ระหว่างอำเภอบ้านบึง – อำเภอเมืองชลบุรี

        ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการอำนวยความสะดวกอาจปิดจุดกลับรถบางจุด นอกจากนี้ ยังมีมูลนิธิต่างๆในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ได้ออกมาอำนวยความสะดวกด้านเส้นทางไปสุสานต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี อีกด้วย

ปริญญา/ข่าว

*****************************************

สภาฯเชิญประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2567

         ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ปี 2567 เปิดเผยว่า รัฐสภาฯ จัดการประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2567 โดยมีหลักเกณฑ์ในการส่งผลงานวรรณกรรมเข้าประกวดในปี 2567 ยังคงเปิดโอกาสให้นักเขียนทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ได้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรม ทั้งประเภทเรื่องสั้น และบทกวี เพื่อส่งเสริมความเป็น ประชาธิปไตย โดย เรื่องสั้น ต้นฉบับผลงานต้องเป็นภาษาไทย และพิมพ์ลงในกระดาษเอ 4 จำนวนไม่เกิน 8 หน้า หากพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวพิมพ์

           ในกรณีที่ผู้ส่งผลงานเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำหรือทัณฑสถาน อนุโลมให้เขียนด้วยลายมือตัวบรรจงได้ (ไม่เกิน 10 หน้า) ส่วน บทกวี สามารถส่งผลงานได้ทั้งการพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเขียนด้วยลายมือ ซึ่งหากเป็นบทกวีฉันทลักษณ์แบบแผน มีขนาดความยาว 6 – 12 บท หากเป็นบทกวีรูปแบบอื่น เช่น กลอนเปล่าหรือรูปแบบคำประพันธ์ที่สร้างขึ้นใหม่ ต้องมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ โดยพิมพ์หรือเขียนลงในกระดาษ เอ 4 หากพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้ตัวอักษรขนาด 16 ตัวพิมพ์ หากเขียนด้วยลายมือให้เขียนตัวบรรจง

           การพิจารณาตัดสินแบ่งออกเป็น 3 รอบ คือ รอบกลั่นกรอง รอบคัดเลือก และคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้าย โดยมีรางวัลแบ่งออกเป็นดังนี้ ได้แก่ 1.รางวัลชนะเลิศ ประเภทละ 1 รางวัล ได้รับโล่รางวัลพานแว่นฟ้า เกียรติบัตรของประธานรัฐสภา และเงินรางวัล รางวัลละ 60,000 บาท 2.รางวัลรองชนะเลิศ ประเภทละ 2 รางวัล ได้รับโล่รางวัลพานแว่นฟ้า เกียรติบัตรของประธานรัฐสภา และเงินรางวัล รางวัลละ 40,000 บาท และ 3.รางวัลชมเชย ประเภทละ 10 รางวัล ได้รับเกียรติบัตรของประธานรัฐสภา และเงินรางวัล รางวัลละ 20,000 บาท ซึ่งผลงานที่ผ่านการพิจารณารอบกลั่นกรองทั้งสองประเภทที่ไม่ได้รับรางวัลจะได้รับเกียรติบัตรของประธานรัฐสภา

         ทั้งนี้ ขอเชิญชวนเพื่อนนักเขียนและประชาชนที่สนใจ ส่งผลงานได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยจะประกาศรายชื่อผลงานที่ผ่านการคัดเลือก (Shortlist) ในเดือนกรกฎาคม 2567 ประกาศผลการตัดสินเดือนสิงหาคม 2567 และจัดพิธีมอบรางวัล ในเดือนกันยายน 2567

         สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักประชาสัมพันธ์ กลุ่มงานเผยแพร่ประชาธิปไตยและกิจกรรมสภาผู้แทนราษฎร หมายเลขโทรศัพท์ 0 22425900 ต่อ 5492 – 94 และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับรางวัลพานแว่นฟ้าได้ที่ www.paliament.go.th/phan และ Facebook “รางวัลพานแว่นฟ้า”

ปริญญา/ข่าว

******************************

สมัครด่วน! กรมการจัดหางาน รับสมัครหญิงไทย ทำงานนวดมาเลเซีย ไม่จำกัดวุฒิฯ

         กรมการจัดหางาน รับสมัครหญิงไทย ทำงานประเทศมาเลเซีย ไม่จำกัดวุฒิฯ จำนวน 50 อัตรา ฟรี! ค่าตั๋วเครื่องบินไป ค่ารถโดยสารประจำทางกลับ อาหาร ที่พัก มีประกันสุขภาพ สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มีนาคม 2567

         นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานเปิดรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานกับนายจ้าง Thai Odyssey Sdn. Bhd. ประเทศมาเลเซีย (รอบที่ 2) ซึ่งประกอบกิจการร้านนวด ในตำแหน่งพนักงานนวด จำนวน 50 อัตรา ค่าจ้าง 3,000 ริงกิตต่อเดือน หรือประมาณ 22,195 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน) มีระยะเวลาจ้างงาน 1 ปี โดยนายจ้างจะจัดหาที่พัก และจัดรถรับส่งไป-กลับ ระหว่างที่พัก-ที่ทำงาน จัดเตรียมอาหารให้วันละ 3 มื้อ จ่ายค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินขาไป และค่ารถโดยสารประจำทางขากลับประเทศไทย เมื่อทำงานครบสัญญาจ้าง พร้อมประกันคุ้มครองการบาดเจ็บในระหว่างการทำงาน ประกันสุขภาพตามที่รัฐบาลประเทศมาเลเซียกำหนด และประกันสุขภาพแบบกลุ่ม โดยคุณสมบัติที่นายจ้างบริษัท Thai Odyssey Sdn. Bhd. แจ้งความต้องการ เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 21 - 44 ปี ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา มีประสบการณ์ในการนวดไทย นวดเท้า โดยมีใบรับรองการฝึกอบรมการนวด อย่างน้อย 150 ชม. มีสุขภาพแข็งแรง ได้รับการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่กำหนด

        สำหรับการรับสมัครในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยวิธีรัฐจัดส่ง คนหางานไม่ต้องเสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าถ่ายรูป ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 6,500 บาท โดยผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครทาง Email: doe.malaysia1@gmail.com ได้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2567 ตลอด 24 ชม. โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ

        ทั้งนี้ ผู้ที่มีความประสงค์สมัครงานสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มใบสมัคร และศึกษารายละเอียด ได้ที่ เว็บไซต์doe.go.th/overseas หรือเฟชบุ๊ก : แรงงานไทยไปต่างประเทศโดยรัฐจัดส่ง หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ในวันและเวลาราชการ

ปริญญา/ข่าว

**********************************************

กรมการจัดหางาน จับมือ กยศ. เสิร์ฟงานผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ” ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

       กรมการจัดหางาน จับมือ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เชื่อมโยงแอป “ไทยมีงานทำ” บนเว็บไซต์ กยศ. สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้รุ่นน้อง

       นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน ร่วมบูรณาการกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพิ่มโอกาสทางการศึกษาแบ่งเบาภาระด้านการเงินของผู้ปกครอง เพื่อหารือถึงแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือให้ผู้กู้ยืมเงินมีงานทำ มีรายได้เพียงพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีเงินสำรองยามเจ็บป่วยและสามารถชำระหนี้กองทุนฯตามกำหนดได้ ซึ่งกรมการจัดหางานได้แนะนำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” ที่รวบ รวมตำแหน่งงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตำแหน่งงานจากบริษัทจัดหางานชั้นนำไว้หลายตำแหน่ง เพื่อให้ผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่กำลังมองหางาน สามารถค้นหาข้อมูลตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ด้วยการ Matching ตำแหน่งงานตามความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่ หรือค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อพัฒนาทักษะการทำงาน ต่อยอดเพิ่มรายได้ โดยใช้บริการฟรีได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่มีค่าบริการ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งงาน (Active ในระบบ) จากทั่วประเทศ จำนวน 179,267 อัตรา โดยตำแหน่งงาน 5 อันดับแรกที่มีความต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1. พนักงานขายของหน้าร้านและสาธิตสินค้า 2. เจ้าหน้าที่การตลาด 3. เจ้าหน้าที่สำนักงานอื่นๆ 4. เจ้าหน้าที่บัญชี และ 5. ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด

 

       “ผมขอชื่นชม กยศ. ที่หยิบยื่นโอกาสให้คนไทยมีทุนศึกษาต่อ กรมการจัดหางานในฐานะหน่วยงานที่รับไม้ต่อในการส่งเสริมให้คนไทยมีงานทำหลังเรียนจบ พร้อมสนับสนุน ให้คำแนะนำกับน้อง ๆ ที่ต้องการหารายได้หลังเรียนจบ เพื่อมีเงินชำระหนี้กองทุน และเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นถัดไปที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้เข้าถึงการศึกษาต่อไป” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

           สำหรับคนหางานและทุกคนที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มไทยมีงาน ที่เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th และ Mobile Application ไทยมีงานทำ หรือหากไม่สะดวกใช้งานผ่านระบบออนไลน์ สามารถใช้บริการได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

ปริญญา/ข่าว

***********************************

กรมอนามัย หวั่นเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะเกิดซ้ำหลายพื้นที่ ย้ำท้องถิ่นเร่งออกมาตรการป้องกัน

        กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งกำหนดมาตรการ หรือแนวทางในการควบคุม กำกับ ป้องกันปัญหาไฟไหม้บ่อขยะที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ เน้นการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หวั่นประชาชนได้รับผลกระทบบทางสุขภาพ

          นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหลายพื้นที่ประสบภาวะฉุกเฉินจากไฟไหม้บ่อขยะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมอนามัยได้มีการสื่อสารเตือนภัยประชาชนพร้อมส่งทีม SEhRT ระดับพื้นที่ทำการประเมิน เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ อำนาจเจริญ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ฉะเชิงเทรา และล่าสุดเกิดไฟไหม้บ่อขยะในจังหวัดภูเก็ต และปราจีนบุรีในช่วงเวลาเดียวกัน จากเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่มักเกิดกับบ่อขยะที่มีลักษณะแบบเทกอง พื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีผู้ดูแล ไม่มีระบบป้องกัน และระบบแจ้งเตือนภัยความปลอดภัยที่ดีจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บ่อขยะลุกลามอย่างรวดเร็วยากต่อการเข้าถึงและดับไฟได้ จนส่งผลให้ประชาชนที่อาศัยโดยรอบมีภาวะเสี่ยงและมีผลกระทบทางสุขภาพจากการสูดดมรับควันไฟ เขม่า เถ้า และฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ หายใจไม่ออก กลิ่นเหม็นรำคาญบางรายมีอาการไอ แสบจมูก ตา และเป็นผื่นคัน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5ที่เกินมาตรฐานหลายจังหวัด ทั้งที่มาจากสถานประกอบกิจการโรงงานที่ปล่อยควันพิษ การเผาวัชพืชทางการเกษตร การเผาในที่โล่งแจ้ง การคมนาคม และสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนทำให้เกิดภาวะอากาศปิดจึงมีฝุ่น PM 2.5 เข้มข้นสูงจนส่งผลกระทบต่อประชาชน ถือเป็นสถานการณ์ภัยสุขภาพที่สร้างปัญหาให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น

             นายแพทย์อรรถพล กล่าวต่อไปว่า เหตุไฟไหม้บ่อขยะถือเป็นอำนาจของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นในการใช้อำนาจทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกันและกำหนดแนวทางไม่ให้เกิดปัญหาไฟไหม้บ่อขยะในพื้นที่อย่างเคร่งครัด โดยเบื้องต้นควรมีการสำรวจข้อมูลบ่อขยะ ลักษณะหรือรูปแบบของบ่อขยะที่มีในพื้นที่ให้เป็นปัจจุบันเพื่อให้เห็นถึงขอบเขต และแผนที่ความเสี่ยงสุขภาพจากปัญหาบ่อขยะในพื้นที่ จากนั้นให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการดูแลสุขลักษณะและจัดการบ่อขยะตามาตรฐานให้เป็นไปตามกฎหมาย และเพิ่มมาตรการเสริมเพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้ อาทิ 1) ปิดกั้นพื้นที่บ่อขยะโดยรอบจัดให้มีรั้วรอบขอบชิด 2) จัดให้มีผู้ดูแลบ่อขยะ ป้องกันไม่ให้มีบุคลลภายนอกเข้ามาในพื้นที่ และอาจก่อประกายไฟจนเป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ในบ่อขยะ 3) จัดให้มีการปิดคลุมขยะหลังจากการเทกองในแต่ละวันเพื่อป้องกันไม่ให้ขยะปลิวกระจายไปทั่วบริเวณ อาจทำให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์และแมลงพาหะนำโรคได้ และ 4) สร้างช่องทางการแจ้งเตือนภัยประชาชนเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้บ่อขยะ เพื่อให้ประชาชนรับรู้และหาทางหลีกเลี่ยง ป้องกันตนเองและครอบครัวจากปัญหาควันไฟ ฝุ่นละอองจากการเผาไหม้ได้ทันท่วงที นอกจากนี้ควรมีมาตรการควบคุมและลดการเผาในที่โล่งแจ้ง การเผาวัชพืชเพื่อการเกษตรของประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงไฟไหม้ลุกลามมายังบ่อขยะ และลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วย

          “ทั้งนี้ กรมอนามัย ขอให้ประชาชนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงบ่อขยะ หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบ่อขยะหากพบควันไฟ ประกายไฟ หรือเปลวไฟให้รีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานเข้าเผชิญเหตุ และเร่งดับไฟไหม้ในบ่อขยะให้เร็วที่สุด ลดการลุกลาม ลดปัญหาควันไฟและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงกับประชาชนน้อยที่สุด นอกจากนี้ หากต้องเผชิญสถานการณ์โดยตรง ให้ท่านรีบออกจากบ้านไปยังพื้นที่อื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้บ่อขยะ หรือพื้นที่ที่หน่วยงานราชการกำหนด เพื่อลดการสัมผัสกลิ่นเหม็น เถ้า เขม่า และฝุ่นต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับควันไฟ” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ปริญญา/ข่าว

********************************************

Visitors: 177,364