พิธีพระราชทานวิสุงคามสีมาวัดบุญญาวาส

 

  

  

พิธีพระราชทานวิสุงคามสีมาวัดบุญญาวาส

        วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนางสาวอสิตรา รัตตะมณี หัวหน้าสำนักงานจังหวัดชลบุรี นายชายชาญ เตโชทินกร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดชลบุรี ผู้แทนนายอำเภอบ่อทอง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและพุทธ ศาสนิกชน ร่วมถวายประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานวิสุงคามสีมา แด่พระเดชพระคุณพระราชพัชรมานิต (อัครเดช ถิรจิตฺโต) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 13 เจ้าอาวาสวัดบุญญาวาส ตำบลบ่อทอง อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี

         วิสุงคามสีมา หมายถึง เขตที่พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นที่สร้างอุโบสถหรือเขตที่พระสงฆ์ใช้ประกอบสังฆกรรม พระมหากษัตริย์ผู้เป็นองค์ศาสนูปถัมภกมีพระราชประสงค์อำนวยความสะดวกแก่สงฆ์ จึงทรงออกประกาศพระราชทานที่ตั้งวัดเป็น วิสุงคามสีมา ยกที่ดินเป็นเขตวิสุงคามสีมาถือว่าได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งวัด แต่การขอพระบรมราชานุญาตนั้น กำหนดเฉพาะที่ตั้งอุโบสถเท่านั้น ปัจจุบันการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัด ดำเนินตามกฎกระทรวงซึ่งออกความตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 คือ วัดที่สมควรได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ต้องปรากฏว่าได้สร้างขึ้นหรือไปปฏิสังขรเป็นหลักฐานถาวร และมีพระภิกษุอยู่ประจำไม่น้อยกว่า 5 รูป ติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี มิได้ใช้บังคับแก่วัดที่สร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้วและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรขอพระราชทานวิสุงคามสีมา การขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เจ้าอาวาสเป็นผู้เสนอรายงานต่อผู้บังคับบัญชาฝ่ายสงฆ์ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามลำดับชั้น จนถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติเห็นสมควรแล้ว ก็จะกราบบังคมทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อทรงอนุมัติแล้วนำความกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมาต่อไป

     สำหรับประวัติวัดบุญญาวาส นั้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. พ.ศ.2533 พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต ได้เข้ามาอยู่ที่วัดบุญญาวาสปัจจุบัน อยู่รูปเดียว ภาวนาเงียบๆ อยู่ 2 ปีครึ่ง พอประมาณปีพ.ศ. 2535 ครอบครัวของโยมสุวารี ถวายที่ดิน 200 ไร่ ให้ทำเป็นที่พักสงฆ์ พิจารณาดู ถ้าไม่รับเขาก็จะทำสวนยาง สวนปาล์ม ถ้ารับไว้จะมีข้อดี 3 ข้อ 1. ป่าจะอยู่ได้ 200 ไร่ 2. สัตว์หลายพันชีวิตก็อยู่ได้ อย่างพวกนก กระแต อีเห็น ชะมด พังพอน กระต่าย ไก่ป่า ฯลฯ และ3. จะเป็นที่สืบพระพุทธศาสนาได้

    พอปี 2536 พระอาจารย์อัครเดช ได้ไปช่วยเตรียมจัดงานศพหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง ได้พบหมู่คณะสงฆ์ หมู่คณะสงฆ์อยากมาปฏิบัติอยู่ด้วย ได้สอบถามความพร้อมในการจัดเตรียมทำกุฏิ ญาติโยมมีความยินดีพร้อมเพรียงกัน ก็เลยเริ่มสร้างเป็นที่พักสงฆ์ เป็นสำนักสงฆ์ ประมาณปี พ.ศ.2546 จึงเป็นวัดขึ้นมา พ่อของโยมสุวารี ได้ถวายที่สร้างโบสถ์อีก 40ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวาย 20 ไร่ รวมเป็น 260 ไร่ ล้อมรั้วทั้งหมด

     พอปีพ.ศ.2551 พระอาจารย์อัครเดชอาพาธป่วยเป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่ ขั้นที่ 3 รักษาตัวเองอยู่ปีหนึ่ง เข้าโรงพยาบาล 22 ครั้ง ผ่าตัด 4 ครั้ง ให้เคมีบำบัด 12 ครั้ง ตัดสำไส้ไป 5 ฟุต พักฟื้นรักษาตัวปีหนึ่ง ตรวจหาเชื้อมะเร็งไม่เจอ ตอนที่อาพาธ มีโยมคนหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ กลัวว่าเราจะอายุไม่ยืน จึงได้ถวายเงินเพื่อสร้างเจดีย์ต่ออายุ แต่ที่ดินของวัด 260 ไร่ มีเสนาสนะ ซ่อนอยู่ในป่ามากประมาณ 60 กว่าหลัง กำลังสร้างใหม่เพิ่มอีก 5 หลัง ไม่มีสถานที่สร้างเจดีย์ โยมสุวารีถวายอีก 100 ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวายอีก 40 ไร่ ที่ดินวัดปัจจุบันทั้งหมดประมาณ 400 ไร่ ปัจจุบันมี กุฏิพระมี 42 หลัง กุฏิโยมผู้ชาย 13 หลัง กุฏิโยมผู้หญิง 13 หลัง

ปริญญา/ข่าว/ภาพ

Visitors: 177,245